วันที่ 11 กันยายน 2568 นายกรวิชญ์ ทุมมานนท์ เจ้าหน้าที่สมาคมฯ เข้าร่วมงานสัมมนาวิชาการเวทีการประชุมด้านการค้าและการพัฒนาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประจำปี 2568 (Southeast
Asia Trade and Development Forum 2025) จัดโดยสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) ณ โรงแรมดุสิตธานี สรุปดังนี้
การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ มีประเด็นสำคัญดังนี้
1. การผงาดขึ้นของเอเชีย สัดส่วนของผลผลิตโลกจากประเทศพัฒนาแล้วลดลงอย่างมากจาก 64% ในปี 1980 เหลือเพียง 39% ในปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม สัดส่วนของประเทศเกิดใหม่ในเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีจีน อินเดีย และอาเซียนเป็นหัวหอกสำคัญ
2. วิกฤตสิ่งแวดล้อม การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วได้สร้างแรงกดดันต่อระบบนิเวศของโลกอย่างมหาศาล ทั้งวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และปัญหามลภาวะ ซึ่งส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อเศรษฐกิจ
3. ลัทธิกีดกันทางการค้า สหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มหันมาใช้นโยบายกีดกันทางการค้าเพื่อตอบสนองต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย "America First" ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อระเบียบการค้าโลก
4. อนาคตของเงินดอลลาร์ อำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังลดลง และการที่สหรัฐฯ ใช้เงินดอลลาร์เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการเงินแบบหลายสกุลเงิน โดยเงินหยวนของจีนมีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น
ความท้าทายและโอกาสสำหรับอาเซียน ซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของการค้าโลก
การค้าของอาเซียนขยายตัวอย่างมาก โดยมีส่วนแบ่งการส่งออกทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 7.5% และคาดว่าจะก้าวขึ้นเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2030 อาเซียนต้องสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ลดความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน และเร่งสร้างความร่วมมือในด้านสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรม เพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืน อีกทั้ง อาเซียนควรให้ความสำคัญกับ 1) คุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ 2) การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัล โดยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีสีเขียวที่โลกต้องการ และ 3) การบูรณาการระดับภูมิภาค เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกัน เช่น โครงข่ายไฟฟ้าและระบบรถไฟความเร็วสูง
แนวทางเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย
จากสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ทั้งภายในและภายนอกเพื่อรับมือกับความท้าทาย
1. นโยบายการค้าระหว่างประเทศ ไทยควรเร่งเจรจา FTA กับสหภาพยุโรป และพิจารณาเข้าร่วม CPTPP เพื่อเป็นทางเลือกในการแสวงหาโอกาสทางการค้าใหม่ ๆ ท่ามกลางกระแสต่อต้านโลกาภิวัตน์
2. การเสริมสร้างเศรษฐกิจภายใน ประเทศไทยควรหันมาเน้นการสร้างรายได้จากสามภาคส่วนหลัก
• การเป็นผู้ผลิตอาหารชั้นนำ ควรยกเลิกข้อจำกัดในการนำเข้าสินค้าเกษตรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตอาหารแปรรูปให้แข่งขันได้ในตลาดโลก
• ภาคการดูแลสุขภาพและสุขภาวะ ใช้จุดแข็งของโรงพยาบาลและบริการสุขภาพของไทยเพื่อดึงดูดผู้ป่วยต่างชาติ
• การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ปฏิรูประบบการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามาดำเนินการ ซึ่งจะช่วยให้ไทยสามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
3. ความท้าทายทางการคลัง รัฐบาลทั่วโลกกำลังเผชิญกับข้อจำกัดทางการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในระดับโลกและทำให้ค่าเงินอ่อนลง ประเทศไทยจึงควรใช้จ่ายภาครัฐอย่างระมัดระวังและหันมาพึ่งพาทองคำเป็นสินทรัพย์สำรองมากขึ้น
งานสัมมนาครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นว่าแม้โลกจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย ก็มีโอกาสที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนและแข็งแกร่ง หากสามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จากแนวโน้มใหม่ ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ